วันที่ 19 กรกฎาคม 2556
ครั้งที่ 6 เวลาเรียน 13.10-16.40 น.
เวลาเข้าสอน 13.10
น. เวลาเข้าเรียน 13.10 น.
เวลาเลิกเรียน 16.40 น.
วันนี้ก่อนจะเริ่มเรียน
อาจารย์ได้เปิดรูปที่มีการเอาคำมาประกอบเรียงกับรูปภาพเป็นประโยคให้ดูและอ่าน
ซึ่งรูปภาพที่เอามาประกอบกับคำนั้นเป็นรูปของผลิตภัณฑ์ที่ทุกคนเคยเห็นเคยคุ้นตากันดี
ทำให้เห็นแล้วสามารถอ่านเป็นประโยคได้
ต่อมาอาจารย์ได้เริ่มสอนแนวทางการจัดประสบการณ์ทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย
หัวข้อแรกที่ได้เรียนคือการจัดประสบการณ์ทางภาษาที่เน้นทักษะทางภาษา
เพื่อให้เด็กรู้จักส่วนย่อยๆของภาษา รู้จักประสมคำ ความหมายของคำ
การนำคำมาประกอบกันเป็นประโยค การแจกลูกสะกดคำ การเขียน การอ่านสะกดคำซึ่งอาจารย์ก็ได้บอกว่า
การมาอ่าน
มาท่องความจริงแล้วไม่เหมาะกับเด็กอนุบาลซึ่งไม่สอดคล้องกับธรรมชาติการใช้ภาษาของเด็ก
ต่อมาอาจารย์ได้พูดถึงแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติของ Kenneth
Goodman ซึ่งเป็นผู้เสนอแนวทางการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
โดยแนวทางการสอนนั้นมีพื้นฐานมาจากการเรียนรู้และธรรมชาติของเด็กโดยธรรมชาติของเด็กปฐมวัยจะมีลักษณะคือ
ช่างสงสัย ช่างถาม มีความสนใจอยากรู้อยากเห็นสิ่งต่างๆรอบตัว มีความคิดสร้างสรรค์
ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆและชอบเลียนแบบคนอื่น และอาจารย์ก็ได้บอกอีกว่า
แนวการสอนภาษาแบบธรรมชาตินี้มีมาเป็นร้อยกว่าปีแล้วและแนวการสอนนี้ก็เริ่มเข้ามาในประเทศไทยเมื่อ
20 กว่าปีมาแล้ว
อาจารย์ได้เปิดVDO ของ ดร.วรนาถ ซึ่ง VDO
นี้เพื่อนที่เคยออกมานำเสนอเคยเปิดให้ดูแล้วแต่ยังดูไม่จบอาจารย์เลยเอามาให้ดูอีกครั้งเพราะเนื้อหาสำคัญและเหมาะแก่การเรียนรู้มาก
ในVDO นี้ได้พูดถึงการเรียนภาษาแบบธรรมชาติ Whole
Language โดยได้ไปสัมภาษณ์ ดร.วรนาถ ได้กล่าวไว้ว่า
ทำอย่างไรให้เด็กอ่านออกเขียนได้ มีวิธีการเรียนการสอนแบบไหน และได้บอกไว้ว่า
การสอนแบบธรรมชาตินั้นมีประโยชน์มากเพราะเน้นการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ครูจะต้องคิดและสอนเด็กให้เป็นธรรมชาติที่สุดและทำให้เด็กรู้สึกว่ามีภาษาอยู่รอบตัว
เช่น ในห้องเรียนครูต้องจัดให้มีบอร์ดต่างๆติดตามผนังห้อง
เพื่อให้เด็กเห็นสิ่งๆนั้นบ่อยๆอย่างเสมอ และในเรื่องการสอน
ครูต้องสอนเด็กให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด
ต้องเปิดโอกาสให้เด็กได้เลือกต้องไม่ปิดกั้นความคิดของเด็กและครูต้องไม่คาดหวังให้เด็กมีพัฒนาการที่เหมือนกันทั้งห้องเพราะเด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกัน
ครูต้องพร้อมที่จะพัฒนาศักยภาพของเด็ก โดยหน้าที่ของครูนั้น
ครูต้องเป็นตัวอย่างการพูดการใช้ภาษาที่ดีให้กับเด็กเพราะเด็กจะเรียนรู้จากครูและเด็กอาจเลียนแบบการกระทำของครูและครูมีหน้าที่เขียนให้เด็กดู
เวลาที่ครูเขียนและอ่านคำไหนต้องชี้ให้เด็กดู
ต้องฝึกให้เด็กรู้จักวิธีการอานที่ถูกต้องคือจากซ้ายไปขวา
การอ่านควรเริ่มอ่านจากหนังสือเล่มที่เด็กชอบมากที่สุด โดย ดร.วรนาถ
ก็ได้แบ่งการอ่านออกเป็น 2 แบบ คือ การอ่านแบบอิสระและการอ่านรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่
ในการจัดภาษาแบบธรรมชาติต้องบูรณาการได้ทุกกิจกรรม โดย
ดร.ภัทรดรา ได้กล่าวไว้ว่าในการจัดกิจกรรมควรเน้นที่ความสนใจของเด็ก
เด็กสนใจเรื่องไหนครูต้องจัดบูรณาการการเรียนรู้ให้กับเด็ก เช่น
เด็กสนใจเรื่องกบครูจะจัดหน่วยการเรียนรู้เรื่องกบขึ้นมาแล้วบูรณาการเข้าสอนในเรื่องต่างๆ
เช่น ครูสั่งให้เด็กๆกระโดดเป็นกบ
ก็จะช่วยฝึกในเรื่องพัฒนาการทางด้านร่างกายและครูมีคำถามเช่น ถามเด็กว่าอาหารของกบ
คืออะไร เด็กก็จะได้ฝึกการคิด
การจำเพราะเมื่อเด็กไม่รู้คำตอบเมื่อกลับไปบ้านแล้วถามพ่อแม่ก็จะเป็นการฝึกการนำไปใช้ในการสื่อสาร
เมื่อเด็กสื่อสารได้รู้เรื่องแสดงว่าเด็กมีทักษะการฟังที่ดีและต่อมาเมื่อเด็กตอบคำถามได้เด็กก็จะมีทักษะการพูดที่ดีอีกด้วย
หลังจากที่ได้ดู VDO การสอนภาษาแบบธรรมชาติแล้ว
อาจารย์ได้เริ่มสอนในหัวข้อ ทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่อการสอนภาษาแบบธรรมชาติ มีของ Dewey
, Piaget , Vygotsky , haliday ลักษณะคือเด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์และการลงมือกระทำ
เรียนรู้จากกิจกรรมการเคลื่อนไหวของตนเองและการได้สัมผัสจับต้องกับสิ่งต่างๆแล้วสร้างความรู้ขึ้นมาด้วยตนเอง
อิทธิพลของสังคมและบุคคลอื่น
ต่อมาคือลักษณะของการสอนภาษาธรรมชาติ คือ
แนวการสอนจะไม่เรียนเป็นรายวิชา เป็นการสอนแบบบูรณาการ
มีการเรียนเป็นองค์รวมทั้งวันอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่สอนจะสอนในสิ่งที่เด็กสนใจ
สอนในสิ่งที่ใกล้ตัว จะมีการฝึกทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน ไปพร้อมกับการทำกิจกรรม
จะไม่มีการเข้มงวดหรือบังคับเด็กให้เขียน
หลักการของการสอนภาษาแบบธรรมชาติ มีดังนี้ คือ 1.การจัดสภาพแวดล้อม เช่นตัวหนังสือในห้องเรียนต้องมีเป้าหมายในการใช้
หนังสือที่ใช้ต้องใช้ภาษาที่มีความหมายสมบูรณ์ในตัว
2.การสื่อสารที่มีความหมาย คือเด็กจะสื่อสารได้ดีต่อเมื่อมีพื้นฐานจากประสบการณ์จริง
เด็กอ่านเขียนอย่างมีจุดมุ่งหมาย เด็กได้ใช้เวลาอ่านและเขียนตามโอกาส
>> >ตัวอย่าง เมื่อเด็กถามว่า ช้อนเขียนอย่างไร
ถ้าเป็นภาษาธรรมชาติเมื่อเด็กถามเราควรเขียนทั้งคำให้เด็กเห็นคำทั้งคำ
3.การเป็นแบบอย่าง เช่นครูอ่านและเขียนโดยมีจุดมุ่งหมายในการใช้ให้เด็กเห็น
ครูเป็นแบบอย่างที่ดีให้เห็นว่าการอ่านเป็นเรื่องสนุก เช่น
เมื่อเจอสิ่งไหนก็อ่านให้เด็กฟังจะทำให้เด็กรู้สึกรักและอยากที่จะอ่าน
>>>ในการอ่านก็ควรเลือกอ่านที่ถูกต้องให้กับเด็กเพราะภาษาในปัจจุบันมักมีแต่คำแปลกๆดังนั้นควรให้คำแนะนำที่ดีกับเด็ก
ต้องระมัดระวังการใช้ภาษาให้มากๆ
4.การตั้งความคาดหวัง
ครูต้องเชื่อว่าเด็กสามารถพัฒนาได้แต่ต้องไม่คาดหวัง
5.การคาดคะเน เด็กมีโอกาสที่จะทดลองกับภาษา
เด็กได้คาดเดาคำที่จะอ่าน ต้องไม่คาดหวังให้เด็กอ่านออกเขียนได้
6.การใช้ข้อมูลย้อนกลับ เช่น ตอบสนองความพยายามในการใช้ภาษาของเด็ก
ยอมรับการอ่านและการเขียน ให้คำชมและความสนใจ
7.การยอมรับนับถือ
เด็กมีความแตกต่างกันคนไหนเก่งก็พัฒนาต่อไปคนไหนไม่เก่งก็ยกขึ้นมาให้ได้
เลือกกิจกรรมเรียนรู้ด้วยตนเอง
ไม่ทำกิจกรรมตามลำดับขั้นตอน
8.การสร้างความรู้สึกเชื่อมั่น เช่น
ให้เด็กรู้สึกปลอดภัยเมื่อได้ใช้ภาษา
ครูต้องทำให้เด็กไม่กลัวที่จะขอความช่วยเหลือ
ไม่ตราหน้าว่าเด็กไม่มีความสามารถ
ต่อมาได้เรียนเรื่องบทบาทหน้าที่ของครู ซึ่งครูปฐมวัยต้องเป็นผู้ที่ถ่ายทอดความรู้ เป็นผู้อำนวยความสะดวก และเป็นผู้ร่วมทางการเรียนรู้ไปพร้อมกับเด็ก
ก่อนจะจบในเนื้อหาของวันนี้อาจารย์ได้เปิดการเอารูปกับคำมาประกอบกันเป็นเพลง
อาจารย์ก็ได้ให้นักศึกษาร้องและทำท่าประกอบด้วย
ซึ่งกิจกรรมนี้เด็กสามารถอ่านได้โดยการตีความจากภาพ
เป็นวิธีหนึ่งที่ใช้ให้เด็กได้เรียนรู้ภาษาได้ดี
สุดท้ายก่อนเลิกอาจารย์ได้ชี้แจงนักศึกษาเรื่องบล็อกของแต่ละคนแล้วให้เพื่อนหนึ่งคนออกไปเปิดบล็อกแล้วทำเป็นตัวอย่างการสร้างบล็อกสำหรับคนที่ยังไม่ได้เพิ่มชื่อของตัวเองและเพิ่มชื่ออาจารย์ผู้สอน
-สามารถนำวิธีการในการอ่านโดยตีความจากรูปภาพไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ทางภาษาได้ดีกับเด็กได้
-เป็นแนวทางในการจัดประสบการณ์ทางภาษาให้เหมาะสมกับเด็กปฐมวัยได้
-ทำให้รู้หลักการจัดการสอนภาษาแบบธรรมชาติเพื่อให้เด็กมีพัฒนาการทางภาษาที่ดี
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น